เมื่อวานผมรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพเกี่ยวกับเรื่องพระราชบัญญัติที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับกิจการภายในของจีน ซึ่งพระราชบัญญัติเหล่านี้
ผ่านสภาคองเกรสและลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จนประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้แล้ว เช่น พระราชบัญญัตินโยบาย
ปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ในจีน พระราชบัญญัติว่าด้วยหลักประกันไต้หวัน พระราชบัญญัติเข้าสู่ทิเบต พระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชน
และประชาธิปไตยฮ่องกง ฯลฯ ที่จริงพระราชบัญญัติเกี่ยวกับเมืองจีนและคนจีนซึ่งออกโดยสภาคองเกรสของสหรัฐฯ มีมานานแล้วครับ เช่น
เมื่อ พ.ศ.2422 สภา คองเกรสผ่านพระราชบัญญัติห้ามคนจีนอพยพเข้าสหรัฐฯ แต่ประธานาธิบดี ในสมัยนั้นซึ่งจะต้องลงนามในฐานะฝ่ายบริหาร
คือ นายรัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮส์ ยับยั้งแต่พวกสมาชิกรัฐสภาของสหรัฐฯไม่ยอม ดิ้นรนจนสามารถผ่านพระราชบัญญัติกีดกันชาวจีน พ.ศ.2425
ได้สำเร็จ และมีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกีดกันชาวจีนอยู่ตลอดเวลา เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกีดกันชาวจีนเข้มข้นขึ้น เช่น แก้ไขใน
พ.ศ.2435 และ พ.ศ.2445 เพิ่งมีการประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติกีดกันชาวจีน เมื่อ พ.ศ.2486 นี่เองหลายท่านทั้งเขียนทั้งพูดว่า เพราะจีนกลายเป็น
ประเทศพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ ตั้งแต่ พ.ศ.2540 เป็นต้นมา จึงถูกสหรัฐฯ กีดกัน ขอเรียนว่า การกีดกันนี้มีมานับเป็นร้อยปีแล้วครับ ผู้บริหารสหรัฐฯ
ทุกยุคทุกสมัยมีวิสัยทัศน์ที่จะต้องกีดกันและทำลายประเทศที่มีศักยภาพขึ้นมาแข่งขันกับสหรัฐฯในอนาคตได้ ในสมัยแรกของการกีดกัน
อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คนจีนมาอยู่ในสหรัฐฯจำนวนมาก ต่อมาในระยะหลังก็มีการพัฒนายุทธศาสตร์การกีดกันจีนหลากหลายรูปแบบมากขึ้น
สมัยก่อน จีนมักจะเฉยๆ ทว่าตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จีนเอากลับสหรัฐฯแทบทุกเม็ด อย่างเช่น พระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชนและ
ประชาธิปไตยฮ่องกง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนก็ออกมาประณามสหรัฐฯชัดเจนว่าสหรัฐฯมีเจตนาประสงค์ร้าย (ต่อจีน) และน่ารังเกียจ
เป็นอย่างยิ่ง เตือนอย่างตรงไปตรงมาว่าความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงไม่เฉพาะเรื่องที่สหรัฐฯทำกับจีน
เท่านั้น จีนยังประณามสหรัฐฯ ในนโยบายและการกระทำที่สหรัฐฯ ทำกับประเทศอื่นและภูมิภาคอื่นอีกด้วย จีนด่าสหรัฐฯเรื่องใช้นโยบายตาม
อำเภอใจฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัว สร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองด้วยการเข้าไปบ่อนทำลายประเทศที่อ่อนแอกว่าในขณะที่สหรัฐฯ
สร้างสงคราม เที่ยวไปยุแยงตะแคงรั่วก่อให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มประเทศอาหรับ ทั้งเรื่องสงครามอิรัก คว่ำบาตรอิหร่าน การประกาศรับรองเยรู
ซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ฯลฯ โดยไม่ได้สนใจการเศรษฐกิจ ไม่ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง จริงใจ ซึ่งผิดกับจีน เมื่อกรกฎาคม 2561
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและแบบไม่มีดอกเบี้ย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (6 แสนล้านบาท) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของหลาย
ประเทศในกลุ่มอาหรับ แถมยังลงทุนในประเทศมุสลิมในเอเชียใต้อย่างปากีสถาน ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน มูลค่าหลายพันล้าน
ดอลลาร์สหรัฐฯ
Cr: ไทยรัฐ
2,757 03-12-2019